เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพราะเราแสวงหาสัจธรรม เวลาคนเขาทำไร่ไถนาเขาต้องการแสงแดด เพราะแสงแดดของเขาทำให้พืชพรรณธัญญาหารเจริญงอกงามขึ้นมา เวลาเก็บเกี่ยวแล้วเขาจะตากแดดเพื่อไล่ความชื้น เพื่อให้ได้ราคาของเขา นี่เขาต้องการแสงแดดของเขาเพื่อการกสิกรรมของเขา
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราๆ ไง ถ้าหัวใจของเรา สัจธรรมๆ อยู่บ้านของเราพ่อแม่สั่งสอนขึ้นมาก็ว่าพ่อแม่เอ็ด เวลาไปวัดไปวาเห็นครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ เทศนาว่าการ เทศน์ก็คือสั่งสอนนั่นน่ะ สั่งสอน สั่งสอนที่ไหน สั่งสอนความเป็นมนุษย์นี่ไง
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงอะไร สอนถึงสัจธรรมในหัวใจของเราไง เวลาย้อนกลับมาที่เรา เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์นะ ความเป็นมนุษย์ เกิดมาชีวิตนี้ลุ่มๆ ดอนๆ ชีวิตนี้ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อดำรงชีวิตๆ ไง
หัวใจก็เหมือนกัน ฟังธรรมๆ ก็เพื่อหัวใจดวงนี้ไง ทำตามหน้าที่ของตนๆ เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ เราก็ต้องมีหน้าที่การงานของเรา เราอยู่ในครอบครัวของเรา อยู่ในบ้านของเรา เราก็เป็นลูกมีพ่อมีแม่ ถ้าใครมีครอบครัวก็มีลูกมีหลานของเรา เราต้องอบรมสั่งสอน เราต้องมีมารยาท เราต้องมีความรับผิดชอบ
เวลามนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่ดีเห็นภัยในวัฏสงสาร มนุษย์มาบวชพระ มาบวชเป็นพระ ทำหน้าที่ของพระ มันเป็นหน้าที่ของพระไง ถ้าหน้าที่ของพระ เช้าออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ แล้วถึงเวลาทำภัตกิจเสร็จแล้วเข้าสู่คูหา เข้าสู่เรือนว่าง เข้าสู่กุฏิที่พักอาศัยของตนเพื่อค้นคว้า เพื่อทำความเป็นจริงในใจของตนขึ้นมาให้ปรากฏขึ้นมา ความเป็นจริงในใจของตนไง ความเป็นจริงในใจของตนเห็นไหม
เวลาบวชเรียนขึ้นมาแล้ว เวลาพระในสมัยพุทธกาล ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ ทำประโยชน์เพื่อศาสนา เพราะศาสนานี้เราได้คุณธรรมมาเพราะอะไร เพราะได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้การชี้นำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันระลึกถึงบุญถึงคุณของพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยของเรา พระพุทธคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา เป็นพระสงฆ์ขึ้นมา เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา
เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีสิทธิเสรีภาพในการจะนับถือมีความเชื่อในลัทธิศาสนาใด แต่ถ้ามีด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เรานับถือในศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนาสอนอะไร สอนให้การมีน้ำใจต่อกัน ให้การเสียสละกัน
กรรมเก่า กรรมใหม่ มันจะมีความสมปรารถนาไปทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะมีกรรมเก่า กรรมใหม่ไง เวลากรรมเก่าๆ เราทำสิ่งใดไว้ นี่ทำสิ่งใดไว้ เวลากรรมมันให้ผลๆ ถ้ากรรมมันให้ผล เวลาทำคุณงามความดีขึ้นมา เวลากรรมมันให้ผล เห็นไหม คนเขาไม่ต้องการซื้อลอตเตอรี่เลย มีคนมายัดเยียดให้ เวลาเขาซื้อ เขาถูกรางวัลที่หนึ่ง นี่มันอำนาจวาสนาของเขา ไอ้คนที่มีอำนาจวาสนาถึงเวลาแล้วมันเป็นของมันตามนั้นไง
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้นะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำคุณงามความดีของเรา มันจะมากมันจะน้อย มันมีน้ำใจ คนทุกข์คนจนของเรา เรามีน้ำใจต่อเขา อนุโมทนาทานไปกับเขา คุณงามความดี เราปรารถนาคุณงามความดี ถ้ามีแต่คนดีๆ สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข เราก็ร่มเย็นเป็นสุขไปด้วยไง
มีแต่คนร้าย มีแต่คนเอารัดเอาเปรียบ มีแต่คนขูดรีด เราอยู่ในสังคมนั้นเราก็มีความทุกข์ความยากไปกับเขา เห็นไหม เราปรารถนาอะไร เราปรารถนาที่สังคมที่ดี เราปรารถนาที่พึ่งอาศัยที่ดีไง ถ้าเราปรารถนาสิ่งนั้น สิ่งที่ดี สภาคกรรม เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สหชาติ สหชาติเกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเกิดร่วม เกิดขึ้นมามันมีอำนาจวาสนา เพราะผู้มีศีลมีธรรม ฝนตกต้องตามฤดูกาล
ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมไป ไปบางเมืองเกิดภัยพิบัติ ไปบางเมืองเกิดโรคระบาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระสวดมนต์ ให้พระบรรเทาทุกข์ของเขาๆ นี่ไง เวลาความทุกข์ทางโลกๆ ความทุกข์จนตรอกจนไม่มีทางไป
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนาคตังสญาณ แต่มันเป็นเวรเป็นกรรมของคน ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมของคน มันพึ่งพาอาศัยกัน มันช่วยเหลือเจือจานกันได้ในเรื่องของโลก ถ้าเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เรื่องของโลกมันต้องปากกัดตีนถีบอย่างนั้น
เวลามาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นพระ พระสีวลีเป็นผู้ที่มีลาภมากที่สุด เพราะอะไร เพราะท่านทำของท่านมา เวลาท่านทำของท่านมา ท่านมาบวชเป็นพระ ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมีของเขา นี่บารมีธรรมๆ เวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์ของเขา เขามีคนช่วยเหลือเจือจานเขา เวลาเราบวชเป็นพระ เรามีแต่ความทุกข์ความยาก เรามีแต่ความขาดแคลน ความขาดแคลน ขาดแคลนเพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ทำของเรามาไง
ถ้าเราทำของเรามาๆ เวลาเราออกวิเวก ออกธุดงค์ของเราไป มันเป็นการวัดบารมีทั้งนั้นน่ะ ถ้าเป็นจริงเป็นจังของเรา ถ้าหัวใจของเรา เรามาทำไม เรามาเพื่อวัดกิเลสของเราไง เรามาเพื่อค้นคว้าหาหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรา หัวใจที่มันดีดดิ้นในหัวใจนี้ ในใจเรามันดีดมันดิ้น เรามาเพื่อกำจัดสิ่งนี้ ถ้ากำจัดสิ่งนี้ แล้วเราจะไปรับรู้สิ่งภายนอกมากน้อยแค่ไหน สิ่งภายนอกที่ว่า เราทุกข์เราจน เราทุกข์เรายาก
เราทุกข์เรายากมันเรื่องภายนอก ถ้าเป็นเรื่องในใจเรา เราแสวงหาอย่างนี้ไง เรามาในที่สงัดในที่วิเวก เราต้องการให้หัวใจของเราไม่มีโลกธรรม ๘ รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันบีบบี้สีไฟเรา เราพยายามหลบหลีกของเรา เข้าป่าเข้าเขาไป มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า มีแต่สิ่งที่สงบสงัด เราแสวงหาสิ่งนี้ เราต้องการสิ่งนี้ เรามาเพื่อสิ่งนี้ เราไม่ได้มาเพื่อความอยู่สุขอยู่สบาย ถ้าเราอยากอยู่สุขอยู่สบาย เราอยู่วัดอยู่วา อยู่ที่คนอุปัฏฐากอุปถัมภ์เยอะแยะไป เราอุตส่าห์ทิ้งสิ่งนั้นมาๆ
เวลาครูบาอาจารย์ท่านออกปฏิบัติของท่าน ท่านแสวงหาของท่านๆ เห็นไหม กายวิเวก จิตวิเวก เราต้องการแสวงหาสิ่งนั้น ถ้ามีสติมีปัญญา ถ้ามีธรรมอย่างนี้ มันมีปัญญาอย่างนี้ มันเท่าทันกิเลส ถ้าเท่าทันกิเลส มันก็ไม่บีบบี้สีไฟจนเกินไป
เรามา เราเห็นคุณค่าไง คนที่มีปัญญาๆ ความดีอันละเอียด ความดีจากภายใน ถ้าความดีจากภายในก็ความรู้สึกนึกคิดของเรานี่แหละ ถ้าความรู้สึกนึกคิดของเรา มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอีกอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง เราทำอย่างไรล่ะ
เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราจะออกธุดงค์ ออกธุดงค์ด้วยการแสวงหา ด้วยการกระทำ ด้วยความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาตั้งใจ ตั้งเป้ามาแล้วก็มาเพื่อเหตุนี้ มาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ มาเพื่อจะค้นคว้าสัจธรรมในใจของตน
แต่เวลามาแล้วทำไมมันคิดอย่างนี้ล่ะ เวลามาแล้วทำไมมันทุกข์มันยากอย่างนี้ล่ะ เวลามาแล้วทำไมไม่มีใครส่งเสริมไง เราทำคุณงามความดีต้องมีคนส่งเสริมสิ ต้องมีทั้งคนมาอุปัฏฐากอุปถัมภ์ในป่าในเขา แล้วใครจะมา มันมาไม่ได้หรอก เขาไม่มา เขาอยู่ในบ้านในเมืองของเขา เราอยากอยู่สุขอยู่สบาย เราก็เข้าบ้านเข้าเมืองไป เราก็ได้อย่างนั้น
เราหนีเขามาเอง เราออกมาเอง เราออกมาเองแล้วมาคิดน้อยอกน้อยใจทำไม ถ้ามันคิดน้อยใจ ก็เรามาหามันนี่ไง เวลามันโผล่หน้ามา ดูสิ พระที่เขาออกปฏิบัติ โปฐิละ โปฐิละเวลาออกปฏิบัติ สามเณรน้อยสอน เวลาท่านจะสอน ร่างกายนี้เหมือนจอมปลวก ปิดรูทั้ง ๕ รู เปิดรูหัวใจนี้ไว้ คอยจับเหี้ยตัวนั้นๆ เหี้ยในหัวใจเรานี่ไง
นี่ก็เหมือนกัน เราออกธุดงค์ ออกประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เวลามันคิดขึ้นมานั่นน่ะมันโผล่มาแล้ว เวลากิเลสมันโผล่มา ทำไมไปเชื่อมันล่ะ ดูสิ โปฐิละๆ เวลาบอกว่าร่างกายนี้เหมือนจอมปลวก มีรูอยู่ ๕ รู ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดมันไว้ๆ เราหลับตา แล้วเราพยายามเปิดรูไว้รูหนึ่ง รูหัวใจที่มันจะโผล่มา แล้วถ้าเหี้ยพวกนั้นโผล่มาก็จับ
นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงมาบวชไง มาบวชเป็นอะไร บวชเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส บวชมานี่เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บวชมาเพื่อจะค้นคว้า เพื่อหาสัจจะความจริงของเรา ถ้าบวชแล้วนี่บวชร่างกายเป็นสมมุติสงฆ์ พอสมมุติสงฆ์ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะบวชหัวใจของเรา บวชหัวใจด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา
ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมามันจะแก้ไขจิตใจของเรา เวลามันน้อยเนื้อต่ำใจ เวลามันมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ถ้ามีสติมีปัญญาเท่าทัน เห็นไหม มันจับได้ ถ้ามันจับของมันได้ มันจับของมันได้มันมีความละอาย ถ้าคนมีสติปัญญามันคิดอะไรไม่ได้หรอก มันอาย อู้ฮู! ทำไมเราคิดได้ขนาดนี้เนาะ ทำไมเราคิดแต่เรื่องสิ่งที่ไม่ดีเลย
แต่เวลาทบทวนสัญญา ทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คิดเรื่องนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนถึงคนเรามันทำทั้งดีทั้งชั่วมา ทุกคนมันมีแต่ทำดีทำชั่วมาทั้งนั้นน่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เวลาไป จะไปกบิลพัสดุ์ จะไปเพื่อจะทิ้งร่างกายนี้ ลาวัฏฏะ เวลาไปถึงลำธาร อานนท์ เรากระหายน้ำเหลือเกิน เรากระหายน้ำเหลือเกิน
พระอานนท์ ด้วยความเคารพบูชานะ ไปเห็นน้ำขุ่น ไม่อยากจะตักเลยล่ะ นิมนต์ว่า เสด็จไปข้างหน้าเถิด ข้างหน้ามันจะมีลำธารที่ใส ไปดื่มเอาข้างหน้า
อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน เรากระหายเหลือเกิน
พระอานนท์จำใจต้องไปตักไง
เห็นไหม พระธุดงค์เขามีอะไร เขามีบาตร เขาไม่มีภาชนะอย่างอื่นหรอก เอาบาตรนั้นตักน้ำ พอจะตัก มันใสเฉพาะที่ตรงตักนั่นน่ะ พระอานนท์ทึ่งมากเลย มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็น เป็นแล้วพระเจ้าค่ะ น้ำขุ่น ข้าพเจ้ามีความทุกข์ใจทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาจะตัก ด้วยอำนาจวาสนาบารมี ใสเฉพาะตรงที่ตักนั่นน่ะ
อานนท์ มันเป็นเช่นนั้นเอง มันมีเวรมีกรรม แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านอธิบายว่ากรรมอะไรที่มันเกิดขึ้นตรงนั้น ท่านเคยเป็นพ่อค้าโคต่างสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ไง แล้วด้วยความผูกพัน ด้วยความรักวัว เกวียนไปค้าขายใช่ไหม มันผ่านไป แล้วเป็นเกวียนลำเลียงลำดับต่อมา น้ำขุ่นไง ไม่อยากให้วัวมันกิน ก็ดึงไว้ อยากให้ไปกินข้างหน้าเหมือนกัน เหมือนกันเลย
เราจะบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เศษของกรรมๆ แต่ถึงที่สุดแล้ว หัวใจ พระอานนท์ตื่นเต้น สิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็น น้ำขุ่นๆ มันใสเฉพาะตรงให้ตักนั่นน่ะ ดูสิ เวลาผู้ที่มีคุณธรรมเทวดาคุ้มครองนะ ถ้าเทวดาคุ้มครอง เทวดาเขาดูแล เขาเนรมิตให้ทั้งนั้นน่ะถ้าทำได้ ไอ้พวกเรามันพวก ๑๘ มงกุฎไง โม้ไปเรื่อย ไม่เป็นจริงก็ให้มันเป็นจริง
ถ้ามันเป็นจริงของมัน มันเป็นจริงๆ โดยข้อเท็จจริงนั้น แล้วเป็นข้อเท็จจริงนั้น มันเป็นเช่นนั้นเอง อานนท์ มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ที่มีอำนาจวาสนา เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่มีคุณธรรม
แต่มันเป็นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากของ ๑๘ มงกุฎ พยายามจะเลียนแบบ จะสร้างภาพ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาหรอก แล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาแล้วนะ มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ท่านไม่ตื่นเต้น ท่านไม่หวั่นไหวไปกับเรื่องสิ่งนั้นเลย ไอ้ของเรามันไม่มีอย่างนั้นแล้วจะทำให้เหมือน พอทำให้เหมือน ประสบความสำเร็จ ทำได้ พอทำได้ขึ้นมา มันเป็นการสร้างภาพทั้งนั้นเลย นี่พูดถึงว่าถ้า ๑๘ มงกุฎนะ ทำให้เหมือนแล้วมันได้อะไรล่ะ
แต่เวลาจริงๆ แล้วเขาแก้ที่กิเลสนั่น แก้ที่กิเลสนั่น ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่หวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนช้างศึกที่เข้าสู่สงคราม ไม่หวั่นไหวกับอาวุธของข้าศึกทั้งสิ้น นี่หัวใจที่มันฝึกดีแล้ว หัวใจที่ฝึกดีแล้วใช่ไหม เราก็มาฝึกตรงนี้
เราเป็นชาวพุทธนะ เวลาเราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนความจริง ธรรมะ สัจธรรมๆ เวลาโลกมันเป็นไป เวลาว่าศาสนาเสื่อมๆ เสื่อมเพราะมันเป็นศาสนบุคคล บุคคลหัวโล้นนั้นทำตัวไม่ดีมันก็เฉพาะบุคคลหัวโล้นนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องธรรมะ ถ้าเรื่องธรรมะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจอันนั้น อริยสัจอันนั้นมันเป็นความจริงอยู่อย่างนั้น แล้วอริยสัจนั้นมันเป็นสิทธิของเราไง สิทธิหัวใจเราที่เราจะแสวงหาไง
ถ้าสิ่งนั้น ถ้าหัวโล้นเป็นอย่างนั้นมันก็เรื่องของหัวโล้นของบุคคลคนนั้น มันก็เป็นเวรเป็นกรรมของคนคนนั้น มันทำให้สัจธรรมเคลื่อนไหวไปไหน ถ้าสัจธรรมไม่เคลื่อนไหวไปไหน ที่เราจะแสวงหากันอยู่นี่ เรามีการกระทำอยู่นี่ แล้วสัจธรรมมันอยู่ไหน
ศึกษาพระไตรปิฎกมาก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงจำธรรมวินัย พระที่มาบวชๆ บวชทรงจำธรรมวินัยศึกษาไว้ ศึกษาได้ประโยค ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคก็ท่องจำกันไว้ ท่องจำไว้เป็นนกแก้วนกขุนทองไง
ถ้านกแก้วนกขุนทอง มันเป็นนก มันไม่ใช่คน เวลาเราเป็นคนๆ คนนะ หน้าที่ของคน หน้าที่ของเรา เราศึกษา ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติศึกษา ศึกษามา สาธุ พุทธพจน์ พุทธพจน์เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา เราก็อยากให้เกิดขึ้นมาเป็นความจริงของเรา ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมามันก็เป็นความสุขความสงบระงับในใจ มันมั่นคงในศาสนา
พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วแสวงหา ฝึกหัดใช้ปัญญา มันเกิดวิปัสสนาญาณ เห็นไหม อันนั้นจะเกิดขึ้นกับหัวใจดวงนั้นไง หัวใจดวงที่แสวงหาอยู่นี่ ถ้ามันไม่เกิดการกระทำอย่างนั้น มันไม่เกิดกับเรา มันก็เป็นความจำทั้งนั้นน่ะ
ทรงจำธรรมวินัยๆ ทรงจำไว้ทำไม ทรงจำไว้ประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงของเราขึ้นมา เห็นไหม หน้าที่ของพระ งานของพระ พองานของพระขึ้นมา ถ้างานของผู้ที่รื้นค้นเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาแล้วนะ เป็นธรรมทายาท เป็นธรรมทายาทนะ
ของที่เรารู้อยู่กับใจ เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาล้มลุกคลุกคลานนะ หลวงตาพูดเป็นประจำ ๙ ปี ใครไม่เห็นเราอยู่ในป่ามันทุกข์ยากแค่ไหนหรอก อดนอนผ่อนอาหารจนจะเป็นจะตาย คำว่า จะเป็นจะตาย เพราะมันจะเอากิเลสให้อยู่ไง มันจะเอาชนะตนให้ได้ไง
นี่ไง เวลาที่ว่ามันคิดขึ้นมาในหัวใจ แค่มันโผล่มาเท่านั้นน่ะ เรายังไม่รู้จักมันเลย ถ้ามันโผล่มาแล้วเราใช้สติปัญญารักษาของเราจนเป็นสัมมาสมาธิคือตั้งมั่น ตั้งมั่นคือมันโผล่ขึ้นมาไม่ได้ ถ้ามันโผล่ไม่ได้ มันก็ทำสมาธิไม่ได้หรอก ทำสมาธิ เดี๋ยวมันก็ทำให้คลอนแคลนอยู่ตลอดเวลา ลังเลสงสัย มีแต่ความวิตกกังวลไปตลอดเลย มันก็วูบๆ วาบๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ เราก็ฝึกหัดของเราจนชำนาญในวสี ชำนาญในวสี ชำนาญในการกระทำไง
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุไง มีสติมีปัญญาใช้คำบริกรรมของเราไง เวลามันเข้าสู่สงบระงับตามความเป็นจริงอันนั้นด้วยเหตุอันนั้น ด้วยเหตุอันนั้น ด้วยจิตที่มันก่อเหตุอันนั้น มันมีความรู้สึกอันนั้น ถ้าความรู้สึกอันนั้น ถ้ามันสงบระงับเข้ามา นี่สัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา เราศึกษาค้นคว้าของเรา มันจะเกิดภาวนามยปัญญาไง ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา นี่ไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาเป็นแนวทาง เวลาทำจริงๆ เราเป็นคนทำๆ
ถ้าธรรมเกิดขึ้นมา ธรรมเกิดขึ้นมา ดูสิ พระสารีบุตรเวลาเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นความจริงในใจของพระสารีบุตร สิ่งที่เป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็อันเดียวกันทั้งนั้นน่ะ มันถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว มันถึงสิ้นกระบวนการไปแล้วมันจะไปไหนต่อ ถ้ามันไปไหนต่อไม่ได้ แล้วอะไรล่ะ มองตาก็รู้หมด ถ้าเป็นความจริงก็คือความจริง
แต่ถ้าของเราไปมองตาเรางงนะ เอ๊ะ! เอ๊ะ! ถ้ามันยังไม่ถึงที่สุดมันอย่างนั้นน่ะ มันยังเอ๊ะๆ เพราะมันมีเรา มันมีความสงสัย มันไม่สิ้นสุด ถ้ามันสิ้นสุดแล้วอย่างไรก็ไม่มี ค้นคว้าอย่างไรก็ไม่มี ถ้าความไม่มี ไม่มีในอะไร ไม่มีในใจดวงนั้นไง ถ้าเป็นจริงมันต้องเป็นจริงอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ นี่ไง งานของพระ
ตามหน้าที่นะ เราเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิต สัตว์มันต้องแสวงหาอาหารเพื่อดำรงชีพของมัน เราเกิดเป็นมนุษย์ หน้าที่ของมนุษย์ไง ถ้ามนุษย์เกิดมาแล้วมันมีศีลมีธรรม มีพ่อมีแม่ เรามีปู่ย่าตายาย เรามีเชื้อสายของเรามา นี่สายบุญสายกรรม มันจะภพชาติไหนก็แล้วแต่ มันจะมีสิ่งใดมา แต่ปัจจุบันนี้มันก็เป็นสายบุญสายกรรมของเรา ถ้าสายบุญสายกรรมของเรานะ เรามีเมตตาของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เรามีมารยาทสังคม บำรุงรักษาเพื่อความความมั่นคง นี้ทางโลก ทางโลกด้วยสติด้วยปัญญา ชาติตระกูลมันจะได้สืบต่อไป
แล้วนี่เหมือนกัน เวลามาบวชเป็นพระๆ ธรรมทายาท เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เรามาเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงธรรมทรงวินัย พระของเราทรงธรรมทรงวินัย เราศึกษาของเราไว้ เราทำของเราไว้เพื่อประโยชน์กับเราไว้
ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ตอกย้ำขึ้นมา แล้วพยายามขวนขวายทำขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายในๆ ทรัพย์ภายในก็คือปัญญาไง เราอยากให้ลูกไบรต์ทุกคน เราอยากฉลาด อยากเท่าทันคนทั้งหมดเลย นี่ทรัพย์ภายใน แล้วมันมีสติมีปัญญาที่มันมั่นคง สติปัญญาเท่าทันตัวเอง แล้วใครจะมาหลอก เราเองรู้เท่าหมดแล้วใครจะหลอกเรา ไอ้นี่มันหลงใหล โลภ เป็นเหยื่อเขาทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันเท่าทันแล้วมันจบเลย ถ้ามีสติปัญญาแบบนี้มันจะเป็นประโยชน์กับชีวิตนี้ไง
ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อให้หัวใจเรามั่นคง ให้หัวใจเราอบอุ่น ให้หัวใจเราไม่ใช่ว้าเหว่นะ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งนะ เรามีศาสดา เรามีพุทธะในกลางหัวใจ มันเหงาที่ไหน มันไปว้าเหว่ตรงไหน มันไปตื่นเต้นอะไร เกิดดับทั้งนั้นน่ะ แต่หัวใจจริงๆ อันนี้สิ เราดูแลอันนี้ มันอบอุ่น มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นสมบัติกลางหัวใจนี้ เอวัง